ผลิตภัณฑ์ชาในบรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษพิมพ์ลายสีสันสวยงาม

กระดาษพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์ เลือกใช้ให้ถูก ตรงความต้องการ

เลือกกระดาษพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์อย่างไรให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ ทั้งในด้านคุณภาพ และความเหมาะสมกับสินค้าของคุณ

การเลือกใช้ กระดาษพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์ เป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่มีผลต่อทั้งภาพลักษณ์ของแบรนด์และประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้า การเลือกกระดาษที่เหมาะสมกับประเภทสินค้าและงบประมาณจะช่วยเพิ่มความคุ้มค่าในการผลิตและทำให้สินค้าดูมีคุณภาพสูงขึ้น ในบทความนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับประเภทกระดาษที่นิยมใช้ในการผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์ พร้อมทั้งเคล็ดลับการเลือกกระดาษที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณ

การเลือกวัสดุกระดาษที่เหมาะสมสำหรับพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์ เช่น กระดาษแข็ง กระดาษลูกฟูก และกระดาษอาร์ตการ์ด

ประเภทกระดาษพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์

กล่องบรรจุภัณฑ์ส่วนใหญ่ผลิตจากกระดาษหลายประเภท ซึ่งแต่ละแบบมีคุณสมบัติและเหมาะกับการใช้งานต่างกัน ดังนี้

1.กระดาษกล่องลูกฟูก (Corrugated Fiberboard)

คุณเคยเห็นกล่องที่เรานำมาห่อของหรือส่งของไปยังที่ต่างๆ ไหม? เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็นกล่องลูกฟูกกันมาแล้ว เพราะมันคือกระดาษที่มีความทนทานและใช้บ่อยในการบรรจุของที่ต้องการความปลอดภัยสูง ไม่ว่าจะเป็นการส่งของที่มีน้ำหนักหรือสินค้าที่ต้องการการป้องกันการกระแทก กล่องลูกฟูกคือคำตอบที่ดีที่สุด!

กระดาษกล่องลูกฟูกมีลักษณะอย่างไร?

กระดาษกล่องลูกฟูก หรือ Corrugated Fiberboard มีโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งจะประกอบด้วย 3 ชั้นหลักๆ ได้แก่

  • ชั้นกระดาษด้านนอก (Outer Liner): เป็นกระดาษที่อยู่ด้านนอกสุดของกล่อง มีหน้าที่ป้องกันและให้รูปทรงของกล่อง
  • ชั้นลูกฟูก (Fluting): เป็นชั้นกระดาษที่มีลักษณะเป็นลอนๆ หรือเป็นคลื่น ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแรงและดูดซับแรงกระแทก
  • ชั้นกระดาษด้านใน (Inner Liner): เป็นกระดาษที่อยู่ด้านในสุด มีหน้าที่ช่วยปกป้องสินค้าจากการกระแทกและทำให้บรรจุภัณฑ์ดูเรียบร้อย

โครงสร้างนี้ทำให้กระดาษกล่องลูกฟูกแข็งแรงและทนทานมากขึ้น สามารถรับน้ำหนักได้ดี และป้องกันการกระแทกจากการขนส่งหรือการจัดเก็บ

ประเภทของกระดาษกล่องลูกฟูก

กระดาษกล่องลูกฟูกมีหลายประเภทที่เราสามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการ

  • ลูกฟูก 2 ชั้น (Single Face): มีลอนแค่ชั้นเดียว ใช้สำหรับห่อสินค้าที่มีน้ำหนักเบาหรือสินค้าที่ไม่ต้องการการป้องกันมากนัก
  • ลูกฟูก 3 ชั้น (Single Wall): ประกอบด้วย 2 ชั้นกระดาษและ 1 ชั้นลูกฟูกกลาง เป็นประเภทที่ใช้กันทั่วไปสำหรับกล่องขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักปานกลาง
  • ลูกฟูก 5 ชั้น (Double Wall): เป็นประเภทที่มีความทนทานสูงที่สุด เหมาะสำหรับสินค้าที่มีน้ำหนักมากหรือการขนส่งสินค้าที่ต้องการการป้องกันมาก

ทำไมถึงใช้กระดาษกล่องลูกฟูก?

  • ความทนทาน: การมีโครงสร้างที่มีชั้นลูกฟูกช่วยเพิ่มความแข็งแรงและทนทาน ทำให้สามารถรองรับน้ำหนักได้ดีและป้องกันสินค้าจากการกระแทก
  • น้ำหนักเบา: แม้ว่ากระดาษกล่องลูกฟูกจะมีความแข็งแรง แต่ก็ยังคงมีน้ำหนักเบากว่ากระดาษแข็งหรือวัสดุอื่นๆ ทำให้สะดวกในการขนส่ง
  • ราคาถูก: กระดาษกล่องลูกฟูกมีราคาที่ค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับวัสดุบรรจุภัณฑ์อื่นๆ ที่มีความทนทานเหมือนกัน
  • เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: กระดาษกล่องลูกฟูกสามารถรีไซเคิลได้ 100% และมักทำจากวัสดุรีไซเคิล จึงเป็นวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

การใช้งานของกระดาษกล่องลูกฟูก

กระดาษกล่องลูกฟูกมักจะถูกใช้ในงานบรรจุภัณฑ์หลายประเภท เช่น

  • กล่องขนส่งสินค้า: เช่น กล่องสำหรับส่งสินค้าผ่านบริการขนส่ง
  • กล่องบรรจุภัณฑ์สินค้า: เช่น กล่องสำหรับบรรจุเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสินค้าราคาแพง
  • กล่องสำหรับเก็บของในคลัง: ช่วยให้สินค้าสามารถเก็บรักษาได้อย่างปลอดภัยและสะดวกในการจัดเก็บ

2.กระดาษอาร์ตการ์ด (Art Paper)

กระดาษอาร์ตการ์ด คือกระดาษที่หลายๆ คนอาจจะเคยเห็นบ่อยๆ โดยเฉพาะในงานพิมพ์ที่ต้องการคุณภาพสูงและการพิมพ์ที่คมชัด เช่น กล่องเครื่องสำอาง หรือ กล่องของขวัญหรู ว่ากันตรงๆ เลยคือถ้าจะทำกล่องบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการให้ดูดีและดูพรีเมียม กระดาษอาร์ตการ์ดเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ!

คุณสมบัติของกระดาษอาร์ตการ์ด

กระดาษอาร์ตการ์ดมีความหนาระหว่าง 190-400 แกรม ซึ่งหมายความว่ามันค่อนข้างแข็งแรงและทนทานพอสมควร โดยเฉพาะถ้าคุณใช้กระดาษที่มีความหนา 350 แกรมขึ้นไป ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล่องที่คุณผลิตได้ดีเลยทีเดียว ที่สำคัญ กระดาษอาร์ตการ์ดมี ผิวเรียบมันทั้งสองด้าน (C2S) ซึ่งหมายความว่ามันจะมีผิวที่เนียนและเงางาม ทำให้การพิมพ์ลายละเอียดซับซ้อนๆ ออกมาได้คมชัดมาก ไม่ว่าจะเป็น โลโก้ หรือ ลายกราฟิก ก็สามารถพิมพ์ได้สวยงามและเด่นชัดทุกจุด

เหมาะกับการใช้งานอะไรบ้าง?

กระดาษอาร์ตการ์ดเหมาะกับการใช้ใน กล่องเครื่องสำอาง ที่ต้องการความหรูหรา หรือ กล่องของขวัญหรู ที่ต้องการสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า และแน่นอนว่า กล่องสินค้าราคาสูง ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีในการเลือกใช้กระดาษอาร์ตการ์ด เพราะมันช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าภายในและทำให้กล่องดูพรีเมียมมากขึ้น

จุดเด่นที่น่าสนใจ

จุดเด่นของกระดาษอาร์ตการ์ดคือ ความแข็งแรง และ ความเรียบมัน ของมัน ทำให้กล่องที่ใช้กระดาษอาร์ตการ์ดดูหรูหรามากขึ้น และพิมพ์ลายได้คมชัด สีสันสดใส ซึ่งเหมาะมากกับงานที่ต้องการภาพลักษณ์ที่ดูมีระดับและทนทานในเวลาเดียวกัน


3.กระดาษคราฟท์ (Kraft Paper)

กระดาษคราฟท์ทำจากเยื่อไม้ที่ผ่านกระบวนการพิเศษ ทำให้ได้กระดาษที่มีความแข็งแรงและทนทานสูง กระดาษชนิดนี้มักมีสีที่ออกน้ำตาลธรรมชาติ และยังสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ (ย่อยสลายได้ง่ายในธรรมชาติ) ซึ่งทำให้มันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากๆ โดยไม่ทำลายธรรมชาติอย่างกระดาษบางประเภทที่มีสารเคมีในกระบวนการผลิต
ประเภทย่อยของ กระดาษคราฟท์

3.1 KS (ขาว)

  • ลักษณะ: กระดาษคราฟท์ประเภทนี้มีสีขาว ทำให้เหมาะสำหรับการพิมพ์สีสันสดใส เช่น การพิมพ์ลายหรือโลโก้บนกล่องที่ต้องการความสดใส
  • เหมาะกับ: กล่องส่งออกที่ต้องการความสะดุดตาและการพิมพ์ที่คมชัด สร้างความแตกต่างจากกล่องทั่วไป
  • จุดเด่น: คุณสมบัติที่ทำให้พิมพ์ลายได้คมชัด แต่ยังคงความแข็งแรงของกระดาษคราฟท์ที่ทนทาน

3.2 KI (น้ำตาลอ่อน)

  • ลักษณะ: เป็นกระดาษคราฟท์ที่มีสีสันออกน้ำตาลอ่อน หรือที่เราเห็นเป็นกระดาษสีธรรมชาติของคราฟท์ทั่วไป
  • เหมาะกับ: ใช้สำหรับทำกล่องอาหารสำเร็จรูป เช่น กล่องอาหารที่มีการบรรจุอาหารที่ต้องการความแข็งแรงและทนทาน แต่ก็ต้องมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค
  • จุดเด่น: สีน้ำตาลอ่อนให้ความรู้สึกธรรมชาติและเหมาะสมกับกล่องบรรจุอาหารที่ต้องการความทนทานในการขนส่งหรือเก็บรักษา

3.3 KT (รีไซเคิล)

  • ลักษณะ: กระดาษคราฟท์ประเภทนี้ทำจากวัสดุรีไซเคิล โดยมีความแข็งแรงสูงมาก เนื่องจากมันทำมาจากเศษวัสดุเก่า ๆ ที่ถูกนำมาผ่านกระบวนการใหม่
  • เหมาะกับ: ใช้สำหรับ กล่องขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักมาก หรือ สินค้าที่ต้องการการปกป้องอย่างสูง ในการขนส่ง
  • จุดเด่น: กระดาษประเภทนี้มีความทนทานต่อการกระแทกสูงมาก และเหมาะสมกับการบรรจุสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่

เหมาะกับธุรกิจและการใช้งานแบบไหน?

กระดาษคราฟท์โดยรวมเหมาะมากสำหรับการทำ กล่องขนส่ง และ กล่องสินค้าที่มีน้ำหนักมาก เนื่องจากมันมีความทนทานสูง ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้กระดาษคราฟท์ยังเป็นที่นิยมในงาน บรรจุภัณฑ์อาหาร เช่น กล่องอาหารสำเร็จรูป หรือแม้กระทั่งใช้ทำ ถุงช้อปปิ้ง ที่มีความแข็งแรงสูง


4.กระดาษแป้งหลังเทา/หลังขาว Gray Back Duplex Board / White Back Duplex Board

กระดาษแป้งหลังเทา/หลังขาว คือกระดาษที่ค่อนข้างจะประหยัดและมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับงานที่ต้องการลดต้นทุน แต่ยังคงสามารถใช้งานได้ดีนะ

คุณสมบัติ

กระดาษแป้งหลังเทามีความหนาอยู่ที่ประมาณ 300-500 แกรม ซึ่งถือว่าเป็นกระดาษที่ไม่หนามาก แต่ก็ยังมีความแข็งแรงพอสมควร โดยที่ด้านหนึ่งจะมี แป้งเคลือบสีขาว ซึ่งจะทำให้มันพิมพ์สีพื้นฐานได้ดี พอพิมพ์ไปแล้วสีจะคมชัด แต่ไม่ค่อยเหมาะกับการพิมพ์ลายละเอียดที่ซับซ้อนมากนะ

เหมาะกับงานธุรกิจแบบไหน

กระดาษประเภทนี้มักจะใช้ทำ กล่องเครื่องใช้ทั่วไป หรือ กล่องที่ต้องการลดต้นทุน เพราะมันให้ความคุ้มค่ากับราคา โดยยังคงทนทานและสามารถพิมพ์ได้ชัดเจน เหมาะกับการใช้สำหรับสินค้าทั่วไปที่ไม่ต้องการภาพลักษณ์พรีเมียมหรือการพิมพ์ลายที่ซับซ้อน

จุดเด่น

จุดเด่นของกระดาษแป้งหลังเทาคือ ราคาถูก เพราะมันมีราคาที่ค่อนข้างประหยัด ทำให้เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการลดต้นทุนในด้านวัสดุ เช่น ธุรกิจที่ผลิตสินค้าทั่วไป หรืองานที่เน้นราคามากกว่าคุณภาพของวัสดุ นอกจากนี้กระดาษประเภทนี้ยังพิมพ์ สีพื้นฐานได้ดี ไม่ว่าจะเป็นสีดำหรือสีสด ๆ ก็สามารถพิมพ์ออกมาได้คมชัด แต่ถ้าคุณอยากได้ความละเอียดสูงหรือการพิมพ์ที่มีหลายสีซับซ้อน กระดาษประเภทนี้อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด

โดยรวมแล้ว กระดาษแป้งหลังเทา/หลังขาว เหมาะกับงานที่ต้องการ ราคาประหยัด และ ทนทาน โดยไม่ต้องการลวดลายซับซ้อนมาก หรือถ้าคุณมีสินค้าที่ต้องการกล่องที่ไม่เน้นความพรีเมียมก็ถือว่าเหมาะมากๆ


5.กระดาษแข็ง (Cardboard)

ถ้าพูดถึง กระดาษแข็ง หรือที่บางคนอาจเรียกว่า Cardboard มันคงเป็นหนึ่งในวัสดุที่คุ้นเคยมากที่สุดในชีวิตประจำวัน เพราะเราเห็นมันในรูปแบบของ กล่องบรรจุภัณฑ์ หรือตัวห่อสินค้าต่างๆ กระดาษแข็งเป็นวัสดุที่มีความทนทาน และมีคุณสมบัติที่เหมาะสมมากๆ ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการการปกป้องสินค้า

กระดาษแข็งมักจะมีความหนาหลายระดับ และ ขนาด ที่ใช้ในงานบรรจุภัณฑ์จะขึ้นอยู่กับขนาดของสินค้าหรือการพิมพ์ที่ต้องการ ขนาดมาตรฐาน ที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์คือ A4 (210 x 297 มม.) และ A3 (297 x 420 มม.) แต่สำหรับการทำกล่องหรือบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการขนาดพิเศษ ก็สามารถใช้ ขนาด custom ได้ตามต้องการ
ความหนา (แกรม)

กระดาษแข็งมักจะมีความหนาอยู่ระหว่าง 200 แกรม ถึง 500 แกรม ขึ้นอยู่กับการใช้งาน เช่น การทำกล่องสำหรับสินค้าขนาดใหญ่ อาจใช้กระดาษแข็งที่หนากว่า เพื่อเพิ่มความแข็งแรง

Single-wall และ Double-wall (สองชั้น) กระดาษแข็งที่ใช้ในกล่องบรรจุภัณฑ์ที่มีความหนาหรือทนทานมากๆ มักจะเลือกใช้ Double-wall ที่มีสองชั้น เพื่อให้สามารถรองรับน้ำหนักและแรงกระแทกได้ดีกว่า

คุณสมบัติ

กระดาษแข็งมีความทนทานสูง เหมาะกับการทำกล่องบรรจุภัณฑ์ที่ต้องรองรับน้ำหนักสินค้าหรือแรงกระแทกจากการขนส่ง และกระดาษแข็งสามารถทำให้เหมาะสมกับงานได้ง่าย เช่น สามารถพิมพ์โลโก้ สีสัน หรือทำให้มีลวดลายพิเศษได้ ทำให้เพิ่มความสวยงามและน่าสนใจให้กับบรรจุภัณฑ์

เหมาะกับงานธุรกิจแบบไหน

กระดาษแข็งมักใช้ในการทำกล่องเพื่อบรรจุสินค้า เช่น การทำกล่องใส่เสื้อผ้า อาหาร หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า และบรรจุภัณฑ์พิเศษ ใช้สำหรับทำบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการความแข็งแรงพิเศษ เช่น กล่องของขวัญหรือกล่องสำหรับสินค้าราคาแพงที่ต้องการการปกป้อง รวมถึงนำไปทำการ์ด และโปสการ์ด

กล่องบรรจุภัณฑ์กระดาษจากการพิมพ์ ใช้วัสดุกระดาษคุณภาพสูงในการผลิตกล่อง

เกณฑ์การเลือกกระดาษตามธุรกิจ

การเลือก กระดาษ ให้เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจของเรานั้นสำคัญมาก เพราะกระดาษไม่ได้แค่เป็นวัสดุที่ใช้สำหรับพิมพ์หรือห่อหุ้มสินค้าเท่านั้น แต่ยังสามารถส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ และความรู้สึกของลูกค้าเมื่อได้สัมผัสกับสินค้าของเราอีกด้วย นี่เลยแหละที่เราต้องเลือกให้ดี ตามลักษณะของธุรกิจที่เราทำ

1.ธุรกิจเครื่องสำอาง/ของหรู

ถ้าเราทำธุรกิจที่เกี่ยวกับสินค้าหรูหรา หรือ เครื่องสำอาง แบรนด์ของเราต้องการภาพลักษณ์ที่ดูหรูหรา พรีเมียม และน่าเชื่อถือ ซึ่งกระดาษที่เราควรเลือกใช้จะต้องมีคุณภาพดี เพื่อให้ลูกค้าเห็นแล้วรู้สึกถึงความพิเศษ เช่น กระดาษอาร์ตการ์ด (ประมาณ 260-350 แกรม) ซึ่งเป็นกระดาษที่มีความหนาและแข็งแรง ผิวมันและเรียบเนียน เหมาะสำหรับการพิมพ์ลายที่มีรายละเอียดสูง

ข้อแนะนำเพิ่มเติม: สำหรับการสร้างความหรูหรา การเคลือบ UV Spot หรือ เคลือบเงาบางจุด จะช่วยทำให้โลโก้หรือข้อความบนกล่องดูเด่นและสะดุดตายิ่งขึ้น รวมถึงการทำ Hot Stamp เพื่อให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดูพรีเมียมมากขึ้นด้วย

2.ธุรกิจอาหาร/สินค้าทั่วไป

ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ อาหาร หรือ สินค้าทั่วไป นั้น ต้องการกระดาษที่มีความทนทานและเหมาะกับการใช้งานในระยะยาว กระดาษที่ใช้ควรจะต้องรับน้ำหนักได้ดี และ ทนความชื้น เช่น กระดาษคราฟท์ (KI/KS) โดยมีความหนา 300-375 แกรม กระดาษชนิดนี้สามารถพิมพ์ลายได้ดีและยังคงความแข็งแรง แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง เช่น บรรจุภัณฑ์อาหาร

ข้อแนะนำเพิ่มเติม: สำหรับการส่งอาหารที่ต้องการความปลอดภัยและการป้องกันความชื้น ควรเลือกกระดาษที่มีการเคลือบ PE (Polyethylene) เพื่อป้องกันน้ำมันหรือความชื้นจากอาหารที่จะซึมผ่านกระดาษ

3.ธุรกิจต้นทุนต่ำ

ถ้าเราทำธุรกิจที่มีงบประมาณจำกัด เช่น ธุรกิจต้นทุนต่ำ หรือ การผลิตสินค้าที่ต้องการต้นทุนต่ำ เราก็ต้องเลือกกระดาษที่ราคาประหยัดและยังคงคุณภาพดีพอสมควร เช่น กระดาษแป้งหลังเทา ซึ่งมักจะมีความหนาอยู่ที่ 300-400 แกรม กระดาษชนิดนี้มีราคาถูกและสามารถพิมพ์สีพื้นฐานได้ดี เหมาะกับงานที่ไม่เน้นความหรูหราเกินไป

ข้อแนะนำเพิ่มเติม: กระดาษแป้งหลังเทานั้นเหมาะสำหรับการพิมพ์สินค้าที่ไม่เน้นความละเอียดมาก เช่น กล่องเครื่องใช้ทั่วไป หรืองานที่ต้องการลดต้นทุน


เทคนิคเพิ่มมูลค่ากล่องบรรจุภัณฑ์

กล่องบรรจุภัณฑ์ไม่ได้แค่เป็นที่ใส่สินค้าทั่วไปเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดูหรูหราและมีความพิเศษมากขึ้นได้ด้วยนะ! หลายๆ ธุรกิจจึงเลือกที่จะใช้ เทคนิคเพิ่มมูลค่า บนกล่องบรรจุภัณฑ์เพื่อดึงดูดลูกค้า และทำให้สินค้าดูมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น ถ้าคุณอยากรู้ว่าเทคนิคไหนจะทำให้กล่องของคุณดูพรีเมียมและน่าสนใจมากขึ้น มาดูกันเลย!

1.เทคนิคการปั๊มนูน/ปั๊มจม (Embossing/Debossing)

การ ปั๊มนูน หรือ ปั๊มจม คือการสร้างพื้นผิวสัมผัสที่โดดเด่นบนกระดาษ ซึ่งช่วยเพิ่มความพิเศษให้กับกล่องบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะในส่วนของ โลโก้ หรือ จุดสำคัญ ที่อยากเน้นให้ลูกค้าสนใจ

  • ปั๊มนูน (Embossing): คือการทำให้ส่วนของกระดาษยื่นขึ้นมา เช่น การปั๊มนูนโลโก้หรือข้อความบางอย่างให้เด่นขึ้นจากพื้นผิวกล่อง
  • ปั๊มจม (Debossing): คือการทำให้ส่วนของกระดาษยุบลงไป เช่น การทำให้โลโก้หรือกราฟิกอยู่ในระดับต่ำกว่าพื้นผิวกล่อง
  • วัสดุที่ใช้: กระดาษคราฟท์, กระดาษแป้ง, กระดาษอาร์ตการ์ด
    ตัวอย่าง: ลองจินตนาการถึงกล่องเครื่องสำอางหรูที่มีโลโก้ปั๊มนูนขึ้นมา พอสัมผัสกับกล่องจะรู้สึกได้ถึงความพรีเมียมและหรูหรา

2.ไดคัทรูปทรงเฉพาะตัว (Custom Die-Cut)

การเจาะช่องหรือการตัดเป็นรูปทรงเฉพาะ ทำให้กล่องดูโดดเด่นและน่าสนใจขึ้น เช่น การตัดเป็น หน้าต่าง หรือการใช้ รูปทรงแปลกๆ ที่แตกต่างจากกล่องทั่วไป

  • ลักษณะ: เจาะช่องหรือการตัดรูปร่างที่แปลกตา
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับกล่องที่ต้องการโชว์สินค้าภายใน เช่น กล่องเบเกอรี่ หรือ กล่องผลไม้ ที่อยากให้เห็นสินค้าภายในชัดเจน
  • จุดเด่น: เทคนิคนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถเห็นสินค้าภายในกล่องได้ง่ายๆ และยังสร้างเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครให้กับแบรนด์ของคุณ

3.ปั๊มฟอยล์และเคลือบ Spot UV

การใช้ฟอยล์ และ เคลือบ Spot UV เป็นเทคนิคยอดนิยมสำหรับการเพิ่มความหรูหราให้กับกล่องบรรจุภัณฑ์ โดยสามารถเลือกใช้ฟอยล์ทอง, เงิน, หรือโรสโกลด์ เพื่อทำให้กล่องดูพรีเมียมขึ้นอย่างทันที

  • ปั๊มฟอยล์: การเพิ่มฟอยล์ทอง, เงิน หรือโรสโกลด์ในจุดที่ต้องการให้โดดเด่น โดยเฉพาะใน โลโก้ หรือ กราฟิกสำคัญ
  • Spot UV: เคลือบเงาเฉพาะจุด ทำให้ข้อความหรือกราฟิกที่สำคัญดูโดดเด่นและมีกลิ่นอายของความหรูหรา

ตัวอย่าง: กล่องน้ำหอมหรูที่ใช้ ฟอยล์ทอง เพิ่มความพิเศษและทำให้สินค้าดูมีราคาแพงขึ้นทันที

4.เลือกกระดาษพื้นผิวพิเศษ

การเลือกใช้ กระดาษที่มีพื้นผิวพิเศษ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการเพิ่มมูลค่าของกล่องบรรจุภัณฑ์ กระดาษที่มีสัมผัสพิเศษจะทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความหรูหราและไม่เหมือนใคร

  • ประเภท: กระดาษเนื้อสัมผัสหนังวัว, กระดาษเปลือกไม้, กระดาษที่มี กากเพชร
  • จุดแข็ง: การใช้กระดาษที่มีพื้นผิวพิเศษช่วยสร้าง ประสบการณ์สัมผัสที่ไม่ซ้ำใคร ให้กับลูกค้า
  • เหมาะกับ: กล่องสินค้าที่ต้องการความพิเศษ เช่น กล่องสินค้าคอลเลกชันพิเศษ หรือ กล่องของขวัญ ที่อยากสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า

สรุป

การเลือก กระดาษพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์ ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณนั้นต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น น้ำหนักสินค้า, งบประมาณ, และ ภาพลักษณ์แบรนด์ กระดาษแต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแรง ความสวยงาม หรือความเหมาะสมกับสินค้าที่คุณต้องการบรรจุ ดังนั้นการเลือกใช้กระดาษให้ตรงกับความต้องการของธุรกิจจะช่วยเพิ่มความประทับใจให้กับลูกค้าและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้อย่างมาก

อ่านบทความเพิ่มเติม: ประเภทของกระดาษ ที่ใช้งานบ่อยในชีวิตประจำวัน


คำถามที่พบบ่อย

1.กระดาษกล่องลูกฟูกเหมาะกับการใช้งานประเภทไหน?

ตอบ: กระดาษกล่องลูกฟูกเหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าที่ต้องการความแข็งแรงและการป้องกันการกระแทก เช่น การขนส่งเครื่องใช้ไฟฟ้า, สินค้าที่มีน้ำหนักปานกลาง หรือการเก็บรักษาสินค้าภายในคลังสินค้า เนื่องจากมันสามารถทนต่อแรงกระแทกและน้ำหนักได้ดี

2.กระดาษแป้งหลังเทาคืออะไรและเหมาะกับงานประเภทไหน?

ตอบ: กระดาษแป้งหลังเทาคือกระดาษที่มีความหนา 300-500 แกรม มีแป้งเคลือบสีขาวที่ช่วยให้การพิมพ์สีพื้นฐานคมชัด เหมาะกับกล่องเครื่องใช้ทั่วไป หรือกล่องที่ต้องการลดต้นทุน เนื่องจากมีราคาประหยัดและทนทานพอสมควร

3.การเลือกกระดาษตามลักษณะธุรกิจมีอะไรบ้าง?

ตอบ: การเลือกกระดาษตามลักษณะธุรกิจนั้นจะขึ้นอยู่กับคุณภาพและงบประมาณของธุรกิจ เช่น
ธุรกิจเครื่องสำอาง/ของหรู ควรเลือกกระดาษอาร์ตการ์ดที่มีความหนาและเรียบเนียน
ธุรกิจอาหาร/สินค้าทั่วไป ควรเลือกกระดาษคราฟท์ที่มีความทนทานและสามารถทนความชื้นได้
ธุรกิจต้นทุนต่ำ ควรเลือกกระดาษแป้งหลังเทาที่ราคาถูกแต่ทนทาน